การโคลน
ในทางชีววิทยา
การโคลน หมายถึง การสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่
ซึ่งมีลักษณะพันธุกรรมเหมือนสิ่งมีชีวิตต้นแบบทุกประการ วิธีการโคลนวิธีหนึ่งคือนำนิวเคลียสของเซลล์ร่างกายใส่เข้าไปในเซลล์ไข่
ที่ถูกดูดเอานิวเคลียสออกไปก่อนแล้ว
ด้วยกระบวนการนี้เซลล์ไข่ที่มีนิวเคลียสของเซลล์ร่างกายจะพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่โดยใช้ข้อมูลของสารพันธุกรรมจากนิวเคลียสของเซลล์ร่างกาย
สิ่งมีชีวิตตัวใหม่จึงมีลักษณะพันธุกรรมเหมือนกับสิ่งมีชีวิตต้นแบบ
ซึ่งการโคลนนิ่งได้ทำกับพืชมานานหลายสิบปี
ที่เรียกว่า การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ในปี พ.ศ. 2539ได้มีการโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสำเร็จครั้งแรก โดยทำกับแพะ และแกะ แกะตัวแรกที่ได้จากการโคลนนิ่งมีชื่อว่า " ดอลลี่ "
วิธีการโคลนนิ่งแกะดอลลี่
|
ประโยชน์
หรือ ข้อดี ของการโคลนนิ่ง (Advantages
of Cloning)
- ช่วยในการเพิ่มจำนวนพันธุ์สัตว์และพันธุ์พืชหายาก
หรือเพิ่มจำนวนพันธุ์สัตว์และพันธุ์พืชที่ใกล้ที่จะสูญพันธุ์
ได้เร็วกว่าการผสมพันธุ์กันแบบปกติตามธรรมชาติ
- ช่วยในการเพิ่มจำนวนสัตว์ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่ดี
เช่น
หมูที่ให้เนื้อในปริมาณมากหรือโคที่ให้น้ำนมในปริมาณมากที่มีความต้านทานโรคสูง
เป็นต้น
- ช่วยในการเพิ่มจำนวนสัตว์ที่ได้มีการปรับปรุงลักษณะทางพันธุกรรมทั้งสัตว์ที่ผสมพันธุ์กันด้วยวิธีทางธรรมชาติหรือผสมเทียมหรือสัตว์ที่เป็นGMOโดยสัตว์เหล่านี้อาจปรับปรุงพันธุ์มาเพื่อผลิตยารักษาโรคได้
- ช่วยในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้สัตว์ทดลองที่มีพันธุกรรมและลักษณะที่เหมือนกันเป็นจำนวนมาก
- เพื่อช่วยในการผลิตอวัยวะของสัตว์ที่มีลักษณะเหมือนกันเพื่อที่จะใช้ในการย้ายฝาก
- ช่วยในการปลูกถ่ายทดแทนอวัยวะของมนุษย์
ซึ่งอาจได้อวัยวะที่เข้ากันได้โดยภูมิคุ้มกันตัวเองไม่ต่อต้านอวัยวะใหม่ที่รับเข้าไปซึ่งช่วยทำให้ลดความเสี่ยงในการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
- ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจกลไกการทำงานของยีนมากขึ้น
อย่างเช่นในกรณี
ผู้ป่วยที่สมองตายจากการเป็นอัมพาตโดยที่อาจสามารถทำการกระตุ้นให้เซลล์สมองเกิดการแบ่งตัวทดแทนเซลล์เดิมที่ตายไปได้
หรือในกรณีของผู้ป่วยที่ไตวาย
อาจสามารถทำการกระตุ้นการทำงานของไตและทำการกระตุ้นให้เซลล์ไตที่เหลืออยู่เกิดการแบ่งตัวแล้วทำหน้าที่แทนกันได้
ข้อเสีย
หรือ ผลเสีย ของการโคลนนิ่ง (Disadvantages of Cloning)
- ทำให้เกิดความไม่เป็นเอกลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตที่เป็นตัวต้นแบบ
- ทำให้เกิดการขาดความหลากหลายทางชีวภาพ
- อาจทำให้การพัฒนาสายพันธุ์ที่ดีมีน้อยลงเพราะมีลักษณะเหมือนกันไปหมดไม่เปลี่ยนแปลง
- อาจทำให้มีวิวัฒนาการลดลง
และอาจลดความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ได้(เพราะมีความเหมือนกันเป็นจำนวนมาก)
- มนุษย์ยังมีปัญหาด้านจริยธรรม
เช่น อย่างในกรณีการปลูกถ่ายทดแทนอวัยวะของมนุษย์เพราะต้องทำคนที่เหมือนกันออกมาแล้วนำอวัยวะของโคลนนั้นมาปลูกถ่ายแทนที่อวัยวะคนที่เป็นต้นแบบ
ซึ่งทำให้คนที่ถูกโคลนออกมามีอวัยวะไม่ครบ
- มีปัญหาในทางด้านกฎหมายในการพิสูจน์จำแนกผู้กระทำผิดในคดีต่างๆ
โดยใช้การตรวจดีเอ็นเอเพราะโคลนมีดีเอ็นเหมือนกับคนต้นแบบทำให้ยากที่จะจำแนกได้ว่าคนที่เป็นต้นแบบหรือโคลนเป็นผู้กระทำผิด
หรือแม้แต่ลักษณะรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันอาจทำให้พยานระบุผิดคน เป็นต้น
- ที่หากเกิดคัดสายพันธุ์ที่เป็นต้นแบบในการโคลนนิ่งผิดหรือมีลักษณะที่ไม่ดีตามคาดอาจมีผลเสียอื่นตามมาทีหลังได้
การประยุกต์ใช้การโคลนนิ่ง
๑ การโคลนนิ่งเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษาโรค
๑.๑ การโคลนนิ่งผลิตเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนเพื่อใช้รักษาโรค
๒. การโคลนนิ่งสัตว์ทดลองเพื่อใช้ในงานวิจัย
๓. การโคลนนิ่งเพื่อผลิตยารักษาโรค
๔. ผลิตอวัยวะสำรองสำหรับปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วย
ภาพเขียนแสดงการผลิตอวัยวะสำรองของสุกรสำหรับปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วย
การปลูกถ่ายอวัยวะสุกรให้แก่มนุษย์นั้นไม่สามารถทำได้โดยตรง
เนื่องจากตามธรรมชาติพบว่า เซลล์ของสุกรมียีน ที่ผลิตเอนไซม์ บีตา ๑, ๓ กาแลกโตซิลทรานสเฟอเรส (beta 1, 3
galactocyl transferase) ซึ่งมีสารจำพวกกาแลกโทส (galactose)
อยู่บนผิวเซลล์ เมื่อนำอวัยวะสุกรไปปลูกถ่ายให้แก่มนุษย์
จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์สามารถตรวจจับความแปลกปลอม ของเซลล์สุกรได้
ดังนั้น ร่างกายของมนุษย์จึงเกิดการต่อต้านขึ้น แต่หากลบการแสดงออกของยีนที่ผลิตเอนไซม์บีตา
๑, ๓
กาแลกโตซิลทรานสเฟอเรสออกจากเซลล์สุกรก่อนที่จะนำมาโคลนนิ่ง จากนั้น
จึงนำอวัยวะของสุกรมาปลูกถ่ายให้แก่มนุษย์ ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จดีขึ้น
เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ไม่พบความแตกต่างบนผิวเซลล์สุกร ทั้งนี้ มีการผลิตสุกรโคลนนิ่งที่ไม่มียีนที่ผลิตเอนไซม์บีตา
๑, ๓ กาแลกโตซิลทรานสเฟอเรสเกิดมาแล้วหลายตัว แม้ว่าจะสามารถผลิตสุกรที่ไม่มียีนที่ผลิต เอนไซม์บีตา ๑, ๓ กาแลกโตซิลทรานสเฟอเรสได้แล้วก็ตาม
แต่ก็ยังไม่สามารถนำอวัยวะ ของสุกรไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วยได้ เนื่องจากยังมีความวิตกกังวลในเรื่องอวัยวะของสุกรที่อาจมีเชื้อโรคต่างๆ
ที่ติดต่อถึงคนได้ จึงจำเป็นต้องผลิตสุกรที่มีความปลอดเชื้อโรคต่างๆ ก่อน
จึงจะสามารถนำไปใช้ปลูกถ่ายให้แก่มนุษย์ได้จริง
๕ . การโคลนนิ่งเพื่อเพิ่มจำนวนของสัตว์ป่า
สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ หรือสัตว์สูญพันธุ์
โดยทั่วไปวิธีการโคลนนิ่งสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ได้แก่
๑. การโคลนนิ่งภายในชนิดเดียวกัน (Intraspecies cloning)
เป็นวิธีการใช้เซลล์ต้นแบบและไซโทพลาซึมผู้รับของสัตว์ชนิดเดียวกันมาโคลนนิ่ง
๒.
การโคลนนิ่งข้ามชนิดและข้ามสกุล (Interspecies
and genus cloning) เป็นวิธีการใช้เซลล์ต้นแบบของสัตว์ชนิดหนึ่ง
และใช้ไซโทพลาซึมผู้รับของสัตว์อีกสกุลหนึ่งมาโคลนนิ่ง
๓. การโคลนนิ่งข้ามสกุล (Intergeneric cloning) เป็นวิธีการใช้เซลล์ต้นแบบของสัตว์สกุลหนึ่ง
และใช้ไซโทพลาซึมผู้รับของสัตว์อีกสกุลหนึ่งมาโคลนนิ่ง
ใน พ.ศ. ๒๕๕๑ ศูนย์ฝึกอบรมสุนัขดมกลิ่น
ประเทศญี่ปุ่นและคณะวิจัยของบริษัท RNL Bio
ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้น โดยความร่วมมือ
ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ประเทศเกาหลีใต้
ได้ประสบความสำเร็จในการโคลนนิ่งสุนัขดมกลิ่นเพื่อตรวจหามะเร็งในมนุษย์
ได้ลูกสุนัขทั้งหมด ๔ ตัว โดยใช้เซลล์ต้นแบบจากสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์
เพศเมียสีดำ อายุ ๖ ปีครึ่ง ชื่อว่า มารีน (Marine) ซึ่งมีความสามารถในการดมกลิ่นเซลล์มะเร็งจากปัสสาวะหรือลมหายใจ
ลูกสุนัขโคลนนิ่งเหล่านี้ได้รับการฝึกเป็นระยะเวลา ๓ เดือน ในประเทศเกาหลี
ก่อนจะส่งไปฝึกเป็นสุนัขดมกลิ่นเซลล์มะเร็งที่ประเทศญี่ปุ่น ในปีเดียวกัน บริษัท RNL
Bio ก็ประสบความสำเร็จอีกครั้ง
ในการโคลนนิ่งสุนัขพันธุ์พิตบูลล์เทอร์เรียร์ ชื่อว่า บูเกอร์ (Booger) ซึ่งตายด้วยโรคมะเร็งใน พ.ศ. ๒๕๔๙
โดยได้มีการเก็บเนื้อเยื่อใบหูไปเพาะเลี้ยงเก็บไว้ แล้วส่งไปยังบริษัท RNL
Bio เพื่อทำการโคลนนิ่ง จนได้ลูกสุนัขโคลนนิ่งเกิดมา ๕ ตัวใน พ.ศ.
๒๕๕๑ ถือว่าเป็นการโคลนนิ่งสุนัขเพื่อการค้าได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลก
ประโยชน์ของการโคลนนิ่งมีหลายด้านดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นไม่ว่าจะเป็นทางด้านเทคโนโลยีการแพทย์ การปศุสัตว์ การอนุรักษ์สัตว์ป่า หรือการเพิ่มจำนวนของสัตว์เลี้ยง
แต่เทคโนโลยีการโคลนนิ่งอาจเป็นโทษ ถ้านำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น
การโคลนนิ่งมนุษย์สำหรับใช้เป็นแหล่งอวัยวะทดแทน อย่างไรก็ดี
เทคโนโลยีนี้จะมีประโยชน์หรือโทษขึ้นอยู่กับผู้ที่จะนำไปใช้งาน ดังนั้น
ควรไตร่ตรองเลือกใช้เทคโนโลยีในทางที่เหมาะสม
เพื่อเป็นประโยชน์สุขต่อมนุษยชาติต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น